หนึ่งในขนมไทยที่หากินได้ง่าย หรือทำได้ไม่ยาก เหมาะสำหรับจัดในงานต่างๆ นั่นคือ ตะโก้ ซึ่งเป็นขนมหวาน ที่มีส่วนผสม คือแป้งกะทิและน้ำตาลทรายเป็นหลัก ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ตัวขนมเป็นแป้งและน้ำตาล และส่วนหน้าขนมเป็นกะทิ แป้งและเกลือส่วนผสมของตัวขนมสามารถผสมวัตถุดิบ อื่นเพื่อให้เกิดรสชาติที่หลากหลาย เช่น แห้วข้าวโพด เผือกหรือจะเพิ่มสีเขียวของใบเตย และมีชื่อเรียกตาม วัตถุดิบที่ผสมลงไป ขนมตะโก้มีแบบหลากหลายไส้ให้เลือกกิน ทั้งตะโก้เผือก ตะโก้แห้ว ตะโก้ข้าวโพด หรือจะเป็นตะโก้สาคู ถ้วยเล็ก ๆ หยิบจับใส่ปากคำเดียว แต่คนสมัยใหม่ไม่ค่อยนิยมรับประทานกันจึงทำให้หาทานอยากคนส่วนใหญ่มักจะนิยมซื้อมาใส่บาตรทำบุญกัน วันนี้จะมาบอกวิธีทำตะโก้แห้ว เผื่อว่าใครอยากจะลองฝึกฝีมือในการทำขนม หรืออยากจะเริ่มต้นอาชีพการขายขนมก็สามารถนำไปลองทำดูได้
วัตถุดิบ
ส่วนตะโก้
1. แป้งมัน
2. แป้งข้าวเจ้า
3. แห้ว
4. น้ำใบเตย
5. น้ำตาลทราย
6. น้ำเปล่า
ส่วนหน้าตะโก้
1. แป้งข้าวเจ้า
2. กะทิ
3. น้ำตาลทราย
4. เหลือป่น
วิธีทำ
- หั่นแห้วเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าพักไว้
- ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทราย ต้มจนเดือด และเหนียวเป็นน้ำเชื่อม เตรียมไว้
- ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำตาลทราย และน้ำใบเตยจนละลายเข้ากันดี กวนผสมจนแป้งสุกเหนียว และใส จากนั้นใส่แห้วลงคนผสมให้เข้ากัน ยกลงจากเตา ตักใส่กระทงใบเตยที่เตรียมไว้ ประมาณ 3/4 ของกระทง ตามด้วยหน้ากะทิจนเต็มพิมพ์ พักทิ้งไว้จนอุ่น จัดใส่จาน พร้อมรับประทาน
- สำหรับหน้ากะทิให้ใส่แป้งข้าวเจ้า กะทิ และเกลือป่นลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟใช้ความร้อนปานกลาง คนผสมจนข้น และเหนียว ยกลงจากเตา เตรียมไว้หยอดลง พักไว้สักครู่ก็สามารถจัดเสิร์ฟได้
ขนมตะโก้โบราณไม่ได้ตักหยอดในกระทงใบเตย สานเป็นทรงสี่เหลี่ยมอย่างที่นิยมกันทุกวันนี้ แต่คนสมัยก่อนเขาจะเย็บเป็นกระทงใบตอง หน้ากว้าง และชิ้นใหญ่กว่า ขนมตะโก้ในปัจจุบันจะมีขนาดที่เล็กและพอดีคำ โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและพิธีต่างๆ ซึ่งเดี๋ยวสามารถหารับประทานได้เพียงแค่เดินเข้าไปในตลาด ตะโก้ที่นิยมทำขายมากที่สุดก็เห็นจะเป็นตะโก้ข้าวโพดและตะโก้สาคู สำหรับตะโก้แล้ว เป็นอีกหนึ่งขนมไทยที่หลายคนชื่นชอบเพราะความกลมกล่อมของรสชาติหวานจากตัวตะโก้ ผสมผสานกับรสชาติเค็มหน่อยๆ ของกะทิราดตะโก้ ทำให้ทานเข้าไปหนึ่งคำมีความเข้ากันเป็นอย่างดี และสามารถทานได้เรื่อยๆ เพราะรสชาติไม่หวานหรือไม่เค็มจนเกินไป